วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

โรคนอนไม่หลับ/การนอนไม่หลับ

การนอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนเราใช้เวลาหนึ่งในสามในการนอนแต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการนอนเท่าใด คนเราจะมีช่วงที่ง่วงนอน 2ช่วงคือกลางคืน และตอนเที่ยงวันจึงไม่แปลกใจกับคำว่าท้องตึงหนังตาหย่อนในตอนเที่ยง



กลไกการนอนหลับ
เมื่อความมืดมาเยือนเซลล์ที่จอภาพ[retina] จะส่งข้อมูลไปยังเซลล์ประสาทที่อยู่ใน hypothalamus ซึ่งจะเป็นที่สร้างสาร melatonin สาร melatonin สร้างจาก tryptophan ทำให้อุณหภูมิลดลงและเกิดอาการง่วง การนอนของคนปกติแบ่งออกได้ดังนี้
  1. การนอนช่วง  Non-rapid eye movement {non- (REM) sleep} การนอนในช่วงนี้มีความสำคัญมากเพราะมีส่วนสำคัญในการทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาการและมีการหลั่งของฮอร์โมนที่เร่งการเติบโต growth hormone การนอนช่วงนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่โดยการหลับจะเริ่มจากระยะที่1ไปจน REMและกลับมาระยะ1ใหม่
  • Stage 1 (light sleep) ระยะนี้ยังหลับไม่สนิทครึ่งหลับครึ่งตื่น ปลุกง่าย ช่วงนี้อาจจะมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่เรียกว่า hypnic myoclonia มักจะตามหลังอาการเหมือนตกที่สูง ระยะนี้ตาจะเคลื่อนไหวช้า
  • Stage 2 (so-called true sleep).ระยะนี้ตาจะหยุดเคลื่อนไหวคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นแบบ rapid waves เรียก sleep spindles
  • Stage 3 คลื่นไฟฟ้าสมองจะมีลักษณะ delta waves และ Stage 4ระยะนี้เป็นระยะที่หลับสนิทที่สุดคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นแบบ delta waves ทั้งหมด ระยะ3-4 จะปลุกตื่นยากที่สุดตาจะไม่เคลื่อนไหวร่างกายจะไม่เคลื่อนไหว เมื่อปลุกตื่นจะงัวเงีย
  1. การนอนช่วง Rapid eye movement (REM) sleep จะเกิดภายใน 90 นาที หลังจากนอนช่วงนี้เมื่อทดสอบคลื่นสมองจะเหมือนคนตื่น ผู้ป่วยจะหายใจเร็ว ชีพขจรเร็ว กล้ามเนื้อไม่ขยับ อวัยวะเพศแข็งตัว เมื่อคนตื่นช่วงนี้จะจำความฝันได้


เราจะใช้เวลานอนร้อยละ50ใน Stage 2 ร้อยละ 20ในระยะ REM ร้อยละ30 ในระยะอื่นๆ การนอนหลับครบหนึ่งรอบใช้เวลา 90-110นาที คนปกติต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมงโดยหลับตั้งค่ำจนตื่นในตอนเช้า คนสูงอายุการหลับจะเปลี่ยนไปโดยหลับกลางวันเพิ่มและตื่นกลางคืน จำนวนชั่วโมงในการนอนหลับแต่ละคนจะไม่เหมือนกันบางคนนอนแค่วันละ 5-6 ชั่วโมงโดยที่ไม่มีอาการง่วงนอน
อาการนอนไม่หลับ
อาการนอนไม่หลับไม่ใช่โรคแต่เป็นภาวะหลับไม่พอทำให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่น บางคนอาจจะหลับยากใช้เวลามากว่า 30นาทียังไม่หลับ บางคนตื่นบ่อยหลังจากตื่นแล้วหลับยาก บางคนตื่นเช้าเกินไป ทำให้ตื่นแล้วไม่สดชื่น ง่วงเมื่อเวลาทำงาน อาการนอนไม่หลับมักจะเป็นชั่วคราวเมื่อภาวะกระตุ้นหายก็จะกลับเป็นปกติแต่ถ้าหากมีอาการเกิน 1 เดือนให้ถือว่าเป็นอาการเรื้อรัง
การวินิจฉัย
แพทย์จะถามคำถาม 4คำถามได้แก่
  • ให้อธิบายว่ามีปัญหานอนไม่หลับเป็นอย่างไร
  • นอนไม่หลับเป็นมานานเท่าใด
  • เป็นทุกทุกคืนหรือไม่
  • สามารถทำงานตอนกลางวันได้หรือไม่
แพทย์จะค้นหาว่าอาหารนอนไม่หลับนั้นเกิดจากโรค จากยา หรือจากจิตใจ
คนเราต้องการนอนวันละเท่าใด
ความต้องการการนอนไม่เท่ากันในแต่ละคนขึ้นกับอายุ ทารกต้องการนอนวันละ 16 ชั่วโมง วัยรุ่นต้องการวันละ 9 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ต้องการวันละ 7-8 ชั่วโมง แต่คนบางคนก็อาจจะต้องการนอนน้อยเหลือเพียงวันละ 5 ชั่วโมง หากนอนไม่พอร่างกายต้องการการนอนเพิ่มในวันรุ่งขึ้น
เราอาจจะทราบว่านอนไม่พอโดยดูจาก
  • เวลาทำงานคุณมีอาการง่วงหรือซึมตลอดวัน
  • อารมณ์แกว่งโกรธง่ายโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอกับครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน
  • หลับภายใน 5 นาทีหลังจากนอน
  • บางคนอาจจะหลับขณะตื่นโดยที่ไม่รู้ตัว
    ทั้งหมดเป็นการแสดงว่าคุณนอนไม่พอคุณต้องเพิ่มเวลานอนหรือเพิ่มคุณภาพของการนอน
การนอนหลับจำเป็นอย่างไรต่อร่างกาย
 ร่างกายเราเหมือนเครื่องจักรทำงานตลอดเวลาการนอนเหมือนให้เครื่องจักรได้หยุดทำงาน สะสมพลังงานและขับของเสียออก การนอนจึงจำเป็นสำหรับร่างกายมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีการศึกษาว่าการนอนไม่พอจะมีอันตรายการประสานระหว่างมือและตาจะเหมือนกับผู้ที่ได้รับสารพิษ ผู้ที่นอนไม่พอหากดื่มสุราจะทำให้ความสามารถลดลงอ่อนเพลียมาก การดื่มกาแฟก็ไม่สามารถทำให้หายง่วง
มีการทดลองในหนูพบว่าหากนอนไม่พอหนูจะมีอายุสั้น ภูมิคุ้มกันต่ำลง สำหรับคนหากนอนไม่พอจะมีอาการง่วงและไม่มีสมาธิ ความจำไม่ดี ความสามารถในการคำนวณด้อยลง หากยังนอนไม่พอจะมีอาการภาพหลอน อารมณ์จะแกว่ง การนอนไม่พอเป็นสาเหตุของอุบัติต่างๆ เชื่อว่าเซลล์สมองหากไม่ได้นอนจะขาดพลังงานและมีของเสียคั่ง นอกจากนั้นการนอนหลับสนิทจะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต (growth hormone)
จะปรึกษาแพทย์เมื่อไร
ถ้าหากอาการนอนไม่หลับเป็นมากกว่า 1 สัปดาห์ หรือทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลากลางวัน ก่อนพบแพทย์ควรทำตารางสำรวจพฤติกรรมการนอนประมาณ 10 วันเพื่อให้แพทย์วินิจฉัย ในการรักษาแพทย์จะแนะนำเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการนอน ถ้าไม่ดีจึงจะให้ยานอนหลับ
การนอนหลับอย่างพอเพียงทั้งระยะเวลาและคุณภาพของการนอนหลับจะเป็นปัจจัยในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีเหมือนกับการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และการออกกำลังกาย 

ข้อดี และข้อเสีย ของชาเขียว

ข้อดีของชาเขียว......

- ต้านโรคไขข้ออักเสบ กล่าวกันว่าชาเขียวช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูห์มาติก (rheumatoid arthritis) ที่มักจะเกิดกับสตรีวัยกลางคน อาการของโรคโดยทั่วไปคือมีอาการของการอักเสบบวมแดง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
- ลดระดับคอเลสเทอรอล สารแคเทชินในชาเขียว ช่วยทำลายคอเลสเทอรอล และกำจัดปริมาณของคอเรสเทอรอลในลำไส้ และ ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่พอดีอีกด้วย
- ควบคุมน้ำหนัก ถ้าคุณกำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ การจิบชาเขียวสามารถช่วยได้ดีทีเดียว จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์พบว่า ชาเขียวช่วยเร่งให้ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารและไขมันมากขึ้น
- กลิ่นปากและแบคทีเรีย ป้องกันฟันผุ การดื่มชาเขียวนอกจากจะทำให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ยังช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นและป้องกันการติดเชื้อได้ด้วย อันที่จริงแล้วพบว่าชาเขียวเป็นตัวช่วยยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก ต่อสู้กับเชื้อไวรัสในปากโดยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย

- ป้องกันเชื้อไวรัสเอชไอวี ข้อมูล ในวารสารวิทยาภูมิคุ้มกันทางการแพทย์ และโรคภูมิแพ้ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายนตีพิมพ์ไว้ว่า สารแคเทชินในชาเขียวโดยเฉพาะพระเอกตัวเก่ง EGCG มีสรรพคุณป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า ชาเขียวเข้มข้นช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวี จับตัวกับเซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิดที่มีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราที่เรียกว่า "ทีเซลล์" (T cells) ซึ่งเป็นด่านแรกที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้ ถ้ามีผลการศึกษาเพิ่มเติมยืนยันผลการวิจัยดังกล่าวนี้ นักวิจัยกล่าวว่าจะนำสารในชาเขียวมาใช้ทดลองในการผลิตยาชนิดใหม่ เพื่อป้องกันการลุกลามของเชื้อเอชไอวี


 ประโยชน์ของชาเขียว....


- ทำความสะอาดพรม นอกจากใบชาแห้งจะเป็นยาดับกลิ่นได้ดีแล้ว ยังมีคุณสมบัติต่อต้านหรือหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย
ก่อน ทำความสะอาดพรมด้วยเครื่องดูดฝุ่น ให้โปรยใบชาแห้งบนพรม ให้ทั่วทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงดูดฝุ่นรวมทั้งใบชาทั้งหมด กลิ่นหอมสะอาดของใบชาเขียว0จะช่วยทำให้ห้องสดชื่น รวมทั้งทำความสะอาดพรมด้วย
- ทำความสะอาดเครื่องครัว เราสามารถใช้กากชาเขียวดับกลิ่นคาวต่าง ๆ ได้ โดยหลังจากใช้เขียงประกอบอาหารแล้ว ให้นำไปล้างน้ำ หลังจากนั้นเกลี่ยใบชาเปียกให้ทั่วเขียง ทิ้งไว้สักพักใหญ่แล้วจึงใช้ใบชาขัดถูเขียงให้ทั่ว และล้างออกด้วยน้ำสะอาด น้ำชาต้มก็สามารถนำมาใช้ล้างทำความสะอาดเขียงและอุปกรณ์เครื่องครัวอื่น ๆ ได้เช่นกัน
- ป้องกันสนิม ใช้ใบชาขัดถูหม้อ หรือกะทะเหล็กป้องกันสนิมได้ สารแทนนิน (tannin) ในใบชาจะจับตัวกับเหล็กและสร้างสารเคลือบบาง ๆ บนพื้นผิวหม้อหรือกะทะเพื่อป้องกันสนิม
- น้ำยาบ้วนปาก กลั้วปากด้วยชาเขียวช่วยทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในปาก สารฟลูออรีนในชาเขียวช่วยทำให้ฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุและเหงือกอักเสบ ไม่จำเป็นต้องใช้ชาเขียวชงครั้งแรกกลั้วปาก ดื่มชาให้ชื่นใจก่อน หลังจากนั้นคุณสามารถใช้ชาเขียวชงครั้งที่สามหรือสี่ได้
- ผสมน้ำอาบ นำถุงชาใช้แล้วหรือใบชาใส่ถุงผ้าฝ้ายบาง ๆ มัดให้แน่นแช่ทิ้งไว้ในอ่างอาบน้ำอุ่น น้ำอุ่นผสมน้ำชาจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่น
- หมอนใบชา กลิ่นหอมบาง ๆ จากใบชาจะช่วยให้เราหลับสบายขึ้น การดูแลรักษาทำได้ง่ายโดยนำหมอนที่ทำจากใบชาออกตากในที่ร่ม เพื่อระบายอากาศเป็นประจำ สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
- เป็นเครื่องหอม นำใบชามาเผาเป็นเครื่องหอมจะให้กลิ่นหอมมาก
 โทษของชาเขียว....ชาเขียวจะมีประโยชน์ แต่ชาที่เข้มข้นเกินไป ก็อาจจะมีโทษได้เช่นกัน
1.ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไทรอยด์ จะมีอาการกระสับกระส่าย ใจเต้นเร็ว มือสั่นอยู่แล้ว การดื่มชาจะทำให้มีอาการเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น

2.หญิงมีครรภ์ ควรงดดื่มเพราะจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

3.ใน รายที่เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรงดดื่มชา เพราะกาเฟอีนจะทำให้หัวใจทำงานไม่ปกติ คือเต้นเร็วขึ้น (หากชอบดื่มชา ก็อาจเลือกชาชนิดที่สกัดกาเฟอีนออกแล้วก็ได้)
0
4.คน ที่เป็นโคกระเพาะอาหารอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา เพราะชาจะกระตู้นให้ผนังกระเพราะอาหารหลั่งน้ำย่อยซึ่งมีสภาวะเป็นกรดมา มากกว่าปกติ ทำให้อาการอักเสบยิ่งรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็นโรคกระเพาะแต่เลิกดื่มชาไม่ได้ การเติมนมก็มีประโยชน์ เพราะนมยับยั้งแทนนินไม่ให้ออกฤทธิ์กระตุ้นน้ำย่อยในกระเพราะอาหาร


5.การ ดื่มชาแทนอาหารเช้าจะทำให้ ร่างกายขาดสารอาหาร จึงควรเติมนมหรือน้ำตาลอาจเพิ่มเพิ่มคุณค่าได้บ้าง และควรกินอาหารชนิดอื่นร่วมด้วย

6.การดื่มชาในปริมาณที่เข้มข้นมากๆจะทำให้เกิดอาการท้องผูก และนอนไม่หลับ

7.ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัดมากๆเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ระคายเคืองต่อเซลล์ จะทำให้เกิดโรคมะเร็งสูง

8.การดื่มชาเขียวในปริมาณสูงอาจมีผลในการลดการดูดซึมวิตามิน B1 และ ธาตุเหล็กได้

9.ใน กรณีที่ดื่มชาเพื่อต้องการเสริมสุขภาพและป้องกันมะเร็ง การเติมนมในชาก็ไม่ได้ผล เพราะฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเกิดจากสารแทนนิน แต่การเติมนมลงไปนมจะไปจับกับสารแทนนิน ไม่ให้ออกฤทธิ์
แม้จะมีการวิจัย ต่างๆ มากมายที่ระบุว่าสาร EGCG[5] ในคาเทซินซึ่งมีอยู่ในชาจะสามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ถึง 50% แต่การทดลองบางแห่งหนึ่งก็พบว่าการ EGCG เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในสัตว์อีกชนิดหนึ่ง เพราะความสลับซับซ้อนของเอมไซม์และฮอร์โมนของสัตว์ที่แตกต่างกัน ฉะนั้นการดื่มชาเพื่อสุขภาพที่แท้จริงจึงควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีลดความอ้วน ง่ายๆ 8 ขั้นตอน

ปัจจุบันนี้ โรคอ้วน ได้กลายมาเป็นปัญหาใหญ่ในสังคม  คนอ้วนมีอัตราการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน  สาเหตุแห่งการอ้วนมาจากหลายปัจจัย เช่น การบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไป  การขาดการออกกำลังกาย  และการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนไป

อาหารฟาสต์ฟู้ดในปัจจุบันนี้ได้รับความนิยมเป็นอันมากจากผู้บริโภค ซึ่งอาหารเหล่านี้นั้นอุดมไปด้วย ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลในปริมาณสูง อีกทั้งผู้บริโภครู้สึกดีที่ได้บริโภคเพราะทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าตัวเองนั้นมีรสนิยมดี (ค่านิยมฝรั่ง) 

เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆในชีวิตประจำวัน เช่น รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ คอมพิวเตอร์ เหล่านี้ทำให้ประชากรนั้นทำงานน้อยลง ได้เคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น ในอดีต เราอาศัยการเดินเท้าหรือการแจวเรือไปยังสถานที่ที่ต้องการไป เช่น วัด หรือ โรงเรียน แต่ปัจจุบันนี้ การเดินทางไปนั้นสะดวกสบายขึ้นมาก โดยการใช้รถยนต์เดินทางไป ดังนั้นเราจึงเห็นความแตกต่างของพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ซึ่งเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆเหล่านี้นั้นก็เป็นอีกเหตุปัจจัยหนึ่งในการทำให้ประชากรเพิ่มอัตราเป็นโรคอ้วนมากขึ้น

การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ชีวิตประจำวันของประชากรนั้นเปลี่ยนไป จากนอนแต่หัวค่ำ ตื่นเช้า กลายมาเป็น นอนดึก ตื่นสาย แม้ว่าการนอนดึกตื่นสายนั้น จะมีชั่วโมงในการนอนเท่าเทียมกับการนอนหัวค่ำ ตื่นเช้าก็ตาม แต่ตื่นมา ในช่วยจังหวะเวลาที่ไม่ถูกต้อง กระบวนการในร่างกายทำงานผิดจังหวะ  เช่น เราควรทานอาหารเช้าไม่เกินเวลา 9.00 น. เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารเข้าไปเสริมสร้างส่วนต่างๆของร่างกายในเวลาที่กระเพาะทำงานได้เต็มที่ แต่กลับกลายเป็นว่า ตื่นสายแล้วการทำงานของระบบในร่างกายรวน สิ่งต่างๆเหล่านี้จึงทำให้ร่างกายนั้นทำงานไม่เป็นระบบ และทำให้เกิดโรคอ้วน และโรคอื่นๆตามมาในภายหลัง

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ การไม่ออกกำลังกาย มักเป็นข้ออ้างเสมอๆของผู้ที่เป็นโรคอ้วนว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย ซึ่งถ้าเราจัดสรรเวลาในชีวิตดีๆ  เราทุกคนจะสามารถมีเวลาออกกำลังกาย เพียงแค่วันละ 30 นาที เป็นระยะเวลา 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ การออกกำลังกายทำให้ร่างกายได้ขับของเสียออกมา ทำให้ไต ตับ ทำงานน้อยลง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภายใน อีกทั้งกล้ามเนื้อตามร่างกาย ก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ถ้าเราสามารถทำตามปัจจัยต่างๆที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น เราก็จะสามารถขจัดโรคอ้วนออกไปได้ และเราก็จะได้มีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงต่อไป

การจำกัดอาหาร การจำกัดอาหารหมายความว่า การเลือกอาหารที่เหมาะสมและจำเป็นต่อร่างกาย เช่น เราควรรับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มกากใย และ เส้นใยอาหาร เพราะกากใยอาหารเหล่านี้ ทำให้ร่างกายมีการขับถ่ายที่เป็นปกติ ทำให้ขับสารพิษออกจากลำไส้ พอสารพิษออกจากลำไส้แล้วก็จะไม่เกิดการหมักหมม ซึ่งการหมักหมมเหล่านี้คือเหตุปัจจัยในการเริ่มต้นของมะเร็งตามส่วนต่างๆของร่างกายเรานั่นเอง  การบริโภคไขมันให้น้อยลง ในร่างกายของเรานั้นมีความต้องการไขมันต่อวันเพียงปริมาณน้อยนิดเท่านั้น เราจึงควรลดปริมาณการบริโภคไขมันให้น้อยลง  การเพิ่มการรับประทานโปรตีนจากถั่ว ลดปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์ เนื่องจากเนื้อสัตว์ในปัจจุบันนี้ มีกรรมวิธีในการผลิตที่เร่งรีบมากเกินไป
วิธีการเร่งเนื้อแดง ฯลฯ ทำให้ต้องใช้สารเคมีลงไปในเนื้อสัตว์ เมื่อเราบริโภคเนื้อสัตว์เข้าไปในปริมาณมากๆ สิ่งที่ร่างกายได้รับเข้าไปด้วยนอกเหนือจากเนื้อสัตว์แล้ว ก็คือสารเคมีที่ค้างในเนื้อสัตว์ด้วย เราควรเปลี่ยนการบริโภคจากเนื้อสัตว์มาเป็นการได้รับโปรตีนจากถั่วต่างๆแทน อาหารเสริมต่างๆ เป็น

วิธีลดความอ้วน
 ที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงขอให้ผู้ที่คิดจะใช้นั้น เลือกให้ดี ให้เหมาะสมกับความสามารถในการจ่ายของแต่ละคน ไม่ว่าจะมีเครื่องออกกำลังกายหรืออาหารเสริมใดๆก็แล้วแต่ ที่สามารถช่วยในการลดความอ้วน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความหนักแน่น และการอดทน ในการลดความอ้วน เพราะว่าไม่ใช่ทุกอาทิตย์ที่น้ำหนักจะลดลง แต่สิ่งที่ได้นั้น นอกจากน้ำหนักที่ลดลงแล้ว สิ่งที่ได้อีกควบคู่ไปด้วยนั่นคือ สุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคร้ายแรงใดๆ เพราะความอ้วนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคร้ายหลายโรค ไม่ว่าจะเป็น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็งต่างๆ

ซึ่งคนอ้วนมีอัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคเหล่านี้สูงกว่าคนมีน้ำหนักทั่วไป  ข้อดีอีกอย่างคือ การลดความอ้วนทำให้ผู้ลดความอ้วนนั้นประหยัดเงิน เพราะเนื่องจากคนอ้วนนั้น ไม่ว่าจะซื้อเสื้อผ้า อาหาร จะต้องใช้จำนวนเงินมากกว่าคนที่มีรูปร่างปกติทั่วไป เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้นั้นต้องใช้จำนวนที่มากกว่า จึงต้องจ่ายแพงกว่า  นอกจากนี้แล้ว คนที่ลดความอ้วนที่ได้ผล ยังได้รับความมั่นใจจากการลดความอ้วน เพราะคนอ้วนส่วนใหญ่ ไม่มีความมั่นใจในตนเองเนื่องจากรูปร่างที่แตกต่างจากคนอื่น  สิ่งต่างๆเหล่านี้คือข้อดีที่ได้จากการลดความอ้วน ลดความอ้วนมีแต่ดีไม่มีเสีย 

เมื่อเราได้เห็นข้อดีของการลดความอ้วน และข้อเสียของการมีน้ำหนักตัวมากแล้ว เมื่อคุณอ่านจบ คุณพร้อมรึยังที่จะลดความอ้วน ก่อนที่โรคร้ายต่างๆจะถามหาคุณ เริ่มต้นลดความอ้วนเสียแต่วันนี้เถิดจะเกิดผล


วิธีลดความอ้วนง่ายๆ 8 ขั้นตอน

1.วิธีลดความอ้วนโดยการออกกำลังกาย เราควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที โดย 30นาทีแรกเป็นการเร่งการเผลผลาญของกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย การเร่งกระบวนการเผาผลาญมีหลายวิธี เช่น การวิ่ง การเดินเร็ว การว่ายน้ำ การเต้นแอโรบิค สิ่งต่างๆเหล่านี้เมื่อเราทำเป็นประจำจะทำให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายเพิ่มขึ้น ทำให้กระบวนการเมตาบอลิซึ่มในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

2.วิธีลดความอ้วนโดยการเลือกการบริโภคอาหาร เช่น เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผัก ผลไม้ ถั่วต่างๆ และงดอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ไขมันจากสัตว์ ขนมต่างๆ

3.วิธีลดความอ้วนโดยการบริโภคน้ำสะอาดให้เพียงพอ วันนึงคนเราควรรับประทานน้ำให้ได้ถึงวันละ8-10 แก้วในคนปกติ แต่ในคนอ้วน ต้องดื่มน้ำให้มากกว่านั้น เพราะว่าน้ำจะเป็นส่วนที่ทำให้ไขมันของร่างกายน้อยลง เนื่องจากน้ำจะไปทำความสะอาดอวัยวะต่างๆของร่างกาย อีกทั้งการดื่มน้ำมากๆ จะทำให้ผิวพรรณผ่องใสอีกด้วย

4.วิธีลดความอ้วนโดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ควรพักผ่อนวันละ 6-8 ชม. ต่อวัน โดยนอนแต่หัววัน และตื่นแต่เช้ามือ เพื่อให้กระบวนการในร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

5.วิธีลดความอ้วนโดยการรับประทานอาหารเช้า เพราะการรับประทานอาหารเช้าทำให้กระบวนการเผาผลาญในร่างกายทำงานได้อย่างดีแลเป็นปกติ

6.วิธีลดความอ้วนโดยการหากิจกรรมยามว่างทำ เช่น การอ่านหนังสือ การดูภาพยนตร์ ฯลฯ เพราะกิจกรรมยามว่างทำให้เราหันเหความสนใจไปในด้านอื่นที่ไม่ใช่อาหาร

7.วิธีลดความอ้วนโดยการสร้างแรงบันดาลใจให้ตนเอง เช่น การหาเสื้อผ้าสวยๆมาแขวนไว้ดู และให้จินตนาการว่าเราสวมใส่ชุดนั้นออกมาสวยเพียงใด

8.วิธีลดความอ้วนโดยลดความเครียด เพราะความเครียดก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนอ้วนขึ้น เนื่องจากพอเครียดแล้วเรามักจะหาอาหารใส่ปากเสมอๆ ดังนั้นเราจึงต้องไม่ทำตัวให้เครียด

ทษของการสูบบุหรี่และกลยุทธ์รับมือกับอาการอยากบุหรี่

บุหรี่
             บุหรี่ มีสารต่างๆ หลายชนิด แต่สารสำคัญที่ทำให้เกิดการเสพติดคือ นิโคติน เป็นสารแอลคะลอยด์ที่ไม่มีสี นิโคติน 30 มิลลิกรัมสามารถทำให้คนตายได้ บุหรี่ธรรมดามวนหนึ่งจะมีนิโคตินอยู่ราว 15-20 มิลลิกรัม ก็คือจำนวนนิโคตินในบุหรี่ 2 มวน สามารถทำให้คนตายได้ในทันที แต่การที่สูบบุหรี่ติดต่อกันหลายมวนแล้วไม่ตาย ก็เพราะว่ามีนิโคตินในควันบุหรี่ เป็นส่วนน้อยที่เข้าสู่ร่างกายของผู้สูบ
พิษจากควันบุหรี่
บุหรี่มีสารประกอบต่างๆ อยู่ประมาณ 4000 ชนิด มีสารก่อมะเร็งไม่ต่ำกว่า 42 ชนิด ซึ่งสารบางชนิดเป็นอันตรายที่สำคัญ คือ
1 . นิโคติน ( Nicotine ) เป็นสารระเหยในควันบุหรี่ และเป็นสารที่รุนแรงมากที่สุดอย่างหนึ่ง ละลายน้ำได้ดี ไม่มีสี ถ้าสูบบุหรี่ 1 มวน ร่างกายจะได้รับนิโคตินในควันบุหรี่ 0.2 - 2 มิลลิกรัม หากมีอยู่ในร่างกายถึง 70 มิลลิกรัม จะทำให้ถึงแก่ความตายได้ มีผู้ทดลองนำนิโคตินบริสุทธิ์ เพียง 1 หยด ป้ายลงบนผิวหนังกระต่าย มีผลทำให้กระต่ายตัวนั้นช็อกอย่างรุนแรงและถึงแก่ความตาย แม้จะไม่ได้เข้าสู่ภายในร่างกายทางปากหรือทางลมหายใจ
       นิโคติน จะทำให้ไขมันในเส้นเลือดเพิ่มขึ้น เส้นเลือดหัวใจตีบและเกิดโรคหัวใจขาดเลือดหล่อเลี้ยง ทำให้ความดันสูง หัวใจเต้นเร็วทำลายเนื้อปอดและถุงลมปอดอีกด้วย

2 . ทาร์ ( Tar ) เป็นคราบมันข้นเหนียว สีน้ำตาลแก่ เกิดจากการเผาไหม้ของกระดาษและใบยาสูบ จะทำลายถุงลมปอดทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง หอบเหนื่อยง่าย ไอเรื้อรัง และอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งบริเวณเนื้อเยื่อที่สัมผัสกับสารนี้ ขณะสูบบุหรี่ ทาร์จะตกค้างอยู่ในปอด หลอดลมใหญ่ และหลอดลมเล็ก ประมาณร้อยละ 90 จะขับออกมาพร้อมลมหายใจเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น ดังนั้น ทาร์ จึงเป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด ซึ่งเป็นโรคที่ทรมานมากก่อนเสียชีวิต ในบุหรี่ 1 มวน มีทาร์ในปริมาณต่างกันตั้งแต่ 2.0 มิลลิกรัม จนถึง 3.0 มิลลิกรัม แล้วแต่ชนิดของบุหรี่
3. คาร์บอนมอนอกไซด์ ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถจับออกซิเจนได้เท่ากับเวลาปกติ เกิดการขาดออกซิเจนทำให้มึนงง ตัดสินใจช้า เหนื่อยง่ายซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ
4. ไฮโดรเจนไซยาไนด์ ก๊าซพิษ ทำลายเยื่อบุผิวหลอดลมส่วนต้น ทำให้ไอเรื้อรัง มีเสมหะเป็นประจำโดยเฉพาะตอน เช้า
5. ไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซพิษทำลายเยื่อบุหลอดลมส่วนปลาย และถุงลม ทำให้ผนังถุงลมบางโป่งพอง ถุงลมเล็กๆ หลายอันแตก รวมกันเป็นถุงลมใหญ่ ทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง
6. แอมโมเนีย มีฤทธิ์ระคายเคืองเนื้อเยื่อ ทำให้แสบตา แสบจมูก หลอดลมอักเสบ ไอมีเสมหะมาก
7. สารกัมมันตรังสี ควันบุหรี่มีสารโพโลเนียม 210 ที่มีรังสีอัลฟาอยู่ เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอด

โทษของการสูบบุหรี่ มีดังนี้
1. เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
2. ฟันเหลือง ตาแดง เล็บเขียว
3. มีกลิ่นตัวและกลิ่นปากรุนแรง
4. เป็นที่น่ารังเกียจของสังคม
5. เสียเงินจำนวนมากโดยใช่เหตุ
6. ส่งผลร้ายต่อคนรอบข้าง
7. เป็นมะเร็งช่องปาก รวมถึงฟันและลิ้น (ปากเน่าเละเฟะ)
8. เป็นมะเร็งหลอดลมและหลอดอาหาร
9. เป็นมะเร็งกล่องเสียง
10. เป็นมะเร็งปอด (มะเร็ง ที่ทรมานมากที่สุด) มีโอกาสเป็นโรคมากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 20 เท่า
11. ถุงลมโป่งพองจนไม่สามารถหดตัวกลับได้ มีผลทำให้หายใจติดขัด หอบ จนถึงตายได้
12. โรคกระเพาะอาหารเป็นแผล
13. โรงตับแข็ง เช่นเดียวกับการดื่มสุรา
14. โรคปริทนต์ (ฟันเน่าเละ)
15. โรคโพรงกระดูกอักเสบ
16. โรคความดันโลหิตสูง
17. ประสาทในการรับรสแย่ลง
18. มีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะมาก บางครั้งไอถี่มากจนไม่สามารถหลับนอนได้
บุหรี่ คือ ฆาตกรเงียบ ที่ทำร้ายชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว
กลยุทธ์รับมือกับอาการอยากบุหรี่
ถ่วงเวลา (Delay)เมื่อ อยากสูบบุหรี่ อย่าเพิ่งเปิดซองบุหรี่หรือ จุดบุหรี่ เมื่อผ่านไป 5 นาทีผ่านไป ความอยากจะลดลง แล้วความตั้งใจของคุณที่จะเลิกก็จะกลับมา
หายใจลึกๆ ช้าๆ (Deep breathe)
หายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ 3 - 4 ครั้ง

ดื่มน้ำ (Drink water)
ค่อยๆจิบน้ำ และ อมไว้สักครู่ให้รู้รสน้ำแล้วจึงกลืนลงคอ

เปลี่ยนอิริยาบถ (Do something else) อย่าคิดเรื่องการสูบบุหรี่ เปลี่ยนอิริยาบถไปทำอย่างอื่นเสีย เช่น ฟังเพลง ไปเดินเล่น หรือ ไปหาเพื่อนฝูง
เพียงมวนเดียวก็ผลร้าย ขอ ให้ใจแข็ง การกลับไปสูบบุหรี่แม้เพียงมวนเดียวจะเป็นผลทำให้กลับไปสูบใหม่ คุณต้องต่อสู้กับความอยากให้ได้ การเลิกสูบบุหรี่ คือ การต่อสู้กับความอยาก แม้กระทั่งบุหรี่เพียงมวนเดียว และต่อสู้กับจิตใจของคุณเอง
อดเป็นวันๆไป
พยายาม ตั้งใจให้วันผ่านไปโดยไม่สูบบุหรี่ จำบุหรี่มวนแรกของคุณได้ไหม? บางทีอาจจะทำให้คุณเวียนหัวไม่สบาย ก็ได้ ทำดีต่อร่างกายของคุณให้ปรับสภาพได้โดยไม่ต้องมีนิโคติน

เครื่องดื่มชา กาแฟ และเครื่องดื่มประเภทโคล่า
เหล่า นี้มีคาเฟอีน แต่ไม่มีนิโคติน การที่ไม่มีนิโคตินทำให้ร่างกายดูดซึมคาเฟอีน เข้าไปมากกว่าธรรมดา ทำให้กระวนกระวายและนอนไม่หลับ พยายามดื่มกาแฟให้น้อยลง หรือ ให้อ่อนลงหรือดื่มเครื่องดื่มคล้ายกาแฟ น้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือไดเอ็ดโคล่าที่ไม่คาเฟอีน

เตือนสติตัวเอง เอาเหตุผลที่เลิกบุหรี่ที่เคยจดไว้ออกมาดู และคิดถึงสิ่งที่อยากทำให้ฐานะผู้ไม่สูบบุหรี่
ปฏิเสธบุหรี่จากผู้อื่น
อย่าเกรงใจเมื่อผู้อื่นให้บุหรี่คุณ คุณมีสิทธิปฏิเสธบุหรี่โดยไม่ทำให้ใครเดือนร้อน

เมื่อมือว่าง
พยายามใช้มือทำโน่นทำนี่อย่าปล่อยให้มือว่าง เอากุญแจมาขยำ หรือนับลูกประคำก็ได้

การ สูบบุหรี่กับสิ่งเสพย์ติดอื่นๆ มีรายงานการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่เลิกสูบบุหรี่จะไม่สามารถต้านทานความอยากสูบบุหรี่ได้เมื่อดื่มเหล้า เข้าไป เหล้าและสิ่งเสพย์ติดอื่นๆ จะทำให้คุณมีความอดทนต่อความอยากสูบบุหรี่ได้น้อยลง ดังนั้น ขอให้พยายามหลีกเลี่ยง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และสิ่งเสพย์ติดอื่นๆ สัก 2 - 3 สัปดาห์

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ไวรัสโรตาคืออะไร?

            
ไวรัสโรตา คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เป็นสาเหตุของโรคลำไส้อักเสบที่พบบ่อยในเด็กเล็กในประเทศไทย
พบโรคนี้มากน้อยเพียงใด เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคท้องเสียพบเชื้อไวรัส
โรตาเป็นสาเหตุถึงร้อยละ 40-50 พบมากที่สุดในเด็กอายุ 7-12 เดือน และมักพบผู้ป่วยโรคนี้มากในช่วง
เดือนที่มีอากาศแห้งและค่อนข้างเย็น (พฤศจิกายน – มกราคม)

เด็ก ๆ ติดเชื้อนี้ได้อย่างไร
ไวรัสโรตาสามารถแพร่กระจายได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่มือไปสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อนี้ เช่นของเล่น
สิ่งของเครื่องใช้ หรือ พื้นผิวทั่วไป แล้วนำเข้าปากก็ติดเชื้อได้แล้ว เชื้อไวรัสโรตาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตาม
สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้นานเป็นวัน ๆ

เด็ก ๆ รับเชื้อไวรัสโรตาแล้วมีอาการอย่างไร
หลังจากได้รับเชื้อ 1-2 วัน เด็กจะมีอาการอาเจียน ไข้ ในระยะแรกอาการอาเจียนค่อนข้างรุนแรง วันต่อมา
จะมีท้องเสีย ซึ่งอาจมีอาการรุนแรงได้เช่นเดียวกัน ทำให้พบอาการขาดน้ำและเกลือแร่ได้บ่อย ๆ ส่วนใหญ่
อุจจาระมีลักษณะเป็นน้ำ กลิ่นคาว ไม่ค่อยพบมีมูกเลือดปน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้ภายในเวลา 5-8 วัน

แพทย์ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคนี้อย่างไร
เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส ปัจจุบันยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสโรตา คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกน้อย
ของท่านในเบื้องต้นได้ โดยไม่ควรให้นมในขณะที่เด็กเริ่มมีอาการอาเจียน ควรให้น้ำเกลือแร่ทีละนิดทีละ
น้อย ถ้ายังมีอาเจียน ควรพามาพบแพทย์ทันที ถ้ามีอาการขาดสารน้ำและเกลือแร่ แพทย์มักจำเป็นต้องรับ
ไว้ในโรงพยาบาล เพื่อให้สารน้ำและเกลือแร่ทางเส้นเลือดดำ

เราจะป้องกันไม่ให้เด็กติดเชื้อไวรัสโรตาได้อย่างไร
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญ คือ สุขอนามัยของสมาชิกในครอบครัว และบริเวณที่ลูกชอบเล่น
รวมทั้งของเล่นต่าง ๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกลางวัน และโรงเรียนอนุบาล มักพบว่าเป็นแหล่งแพร่กระจาย
ของเชื้อ ควรสอนให้สมาชิกในครอบครัวและในโรงเรียนเห็นความสำคัญของการล้างมือก่อนและหลัง
รับประทานอาหาร รวมทั้งหลังออกจากห้องน้ำ ไม่ใช้อุปกรณ์ในการรับประทานอาหารและดื่มน้ำร่วมกัน

การเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่จะช่วยให้มีภูมิคุ้มกันโรคนี้ได้บ้าง
ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไวรัสโรตา แนะนำให้ในเด็กอายุ 2-6 เดือน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถขอ
คำแนะนำได้จากกุมารแพทย์ในโรงพยาบาลชั้นนำทั่วไป

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ ศรัตน์ งามเลิศลี้

ชื่อเล่น โปเต้

เกิดวันที่ 2 พฤษจิกายน 2533

อายุ 20 ปี

ที่อยู่ปัจจุบัน หอพักอมเรศ

เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ 0844849055


กำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยพายัพ คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด

เกรดที่คาดว่าจะได้รับ A